ดวงดาวของชาวใต้
ฝรั่งจำแนกกลุ่มดาวไว้ ๘๘ กลุ่ม อาศัยเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์ชั้นสูง ตรวจสอบเทหวัตถุบนท้องฟ้าอย่างละเอียดโดยใช้อายตนะ (Sensation) ที่สัมผัสได้และการคำนวณอย่างซับซ้อนในการเข้าใจดวงดาว แต่ชาวบ้านไทยนั้นอาศัยการสังเกต " ความสัมพันธ์ " ระหว่างดวงดาวกับธรรมชาติส่วนอื่น ดวงดาวของชาวบ้านสำหรับนายพรานนั้นเอาไว้ดูเวลาที่หมูป่าออกหากิน สำหรับขโมยก็เอาไว้ดูเวลาหมาหลับ จะได้ขึ้นบ้านเจ้าทรัพย์ได้สะดวก สำหรับชาวนาก็จะเอาไว้ดูว่าปีนี้ ข้าว เกลือ ปลา หรือพืชพรรณผลไม้จะอุดมสมบูรณ์หรือไม่ หรือแม้แต่ว่าปีนี้น้ำตาลโตนดจะได้ผลแค่ไหน ฯลฯ ทั้งหมดนี้เรียนรู้สั่งสมขึ้นเป็น " ความเข้าใจ " ที่ในบางกรณีมิได้ใช้เพียงประสาทสัมผัสที่จะสังเกตดวงดาว แต่ได้อาศัยญาณทัศนะ ( Intuition) เป็นที่มาของความรู้ต่างๆ นี้ด้วย
จะสังเกตได้ว่าดวงดาวกลุ่มหลักๆ ที่ชาวบ้านทั่วทุกถิ่นใช้สังเกตเวลาและทิศทางอย่างต้องตรงกันได้แก่ กลุ่มดาวช้างหรือดาวจระเข้ ( Ursa Major) กลุ่มดาวลูกไก่หรือดาววี ดาวไก่น้อย (Pleiades) ดาวไถหรือส่วนที่เป็นเข็มขัดนายพรานของนักษัตร Orion ดาวพระศุกร์ ดาวระพริก ดาวประกายพรึก ดาวรุ่ง ดาวหมูชัง ดาวหมูกอง ดาวผกาย (Venus) ดาวคันชั่ง (Alpha Centauri และ Beta Centauri) และดาวว่าว ดาวอีเป้า ดาวเจียง ดาวข่าว ดาวใต้ (Southem Cross)
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มดาวที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งคือ " ดาวกา "
เมื่อประมาณปลายรัชกาลที่ ๘ ที่หมู่บ้านควนขนุน จังหวัดพัทลุง กลางดึกคืนหนึ่งมีเสียงตีเกราะเคาะไม้ดังสนั่น นายหรอด เพ็งแก้ว ชาวนาในหมู่บ้านนั้นลุกจากที่นอนมายืนตรงนอกชาน แหงานมองท้องฟ้าแล้วบอกลูกๆ ว่า เห็น " กาเกาะปากโลง " เดี๋ยวจะจับคนขโมยควายได้ แต่ต้องมีคนตายด้วย หลังจากนั้นพวกชาวบ้านหนุ่มๆ ก็พากันไปตามควาย จนใกล้เช้าถึงจูงควายกลับมาที่หมู่บ้านและแจ้งว่ายิงโจรขโมยควายตายไปหนึ่งคน
" กาเกาะปากโลง " ที่ปู่กล่าวถึงนั้นคือ " ดาวกา " ซึ่งอยู่กลางดาวโลงในกลุ่มดาวราศีมิถุน ( Gemini) ปกติดาวกาจะหม่นมัว มองเห็นไม่ชัด ถ้าวันใดมีอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ร้ายแรง หากแหงนมองท้องฟ้าแล้วเห็นดาวกาอย่างชัดเจน วันนั้นจะต้องมีการเลือดตกยางออกถึงชีวิต
การดูเวลา
ชาวนาภาคใต้สามารถรู้ช่วงเวลาการมาถึงของฤดูทำนาได้ด้วยวิธีสังเกตกลุ่มดาวบนฟากฟ้า โดยเฉพาะการสังเกตกลุ่มดาวจระเข้ เนื่องจากดาวจระเข้เป็นดาวหน้าร้อน มองเห็นชัดเจนบนท้องฟ้าทางทิศเหนือในยามหัวค่ำของฤดูร้อน การปรากฏของกลุ่มดาวจระเข้ช่วยทำให้รู้ว่า ฤดูทำนากำลังจะมาถึง
ในชนบทภาคใต้นั้นการทำนาจะเริ่มตั้งแต่เดือนเจ็ดแปดเรื่อยไปถึงประมาณเดือนสิบ และจะสิ้นสุดการปักดำก็เมื่อสังเกตเห็นว่า ยามใกล้รุ่งก่อนฟ้าสางของวันใด หากมองเห็นจระเข้ " ล่อง " คือทำตัวขนานกับพื้นดินทางเหนืออย่างกระจ่างตา นั่นหมายความว่าเดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสองกำลังจะมาถึง น้ำจะเจิ่งทุ่ง ปักดำต่อไปข้าวกล้าก็จะเสียเปล่า ถึงเวลาเลิกทำนา หยุดรอให้ข้าวทะลึ่งพ้นน้ำ ตั้งท้องออกรวงได้แล้ว
มิใช่แต่ดาวจระเข้เท่านั้นที่ใช้เป็นหมายสำคัญสำหรับบอกจังหวะในการทำนา ป้าศรี บุญแก้ว เล่าว่า ปู่หรอดเคยชี้ให้ลูกดูปลายไม้ทางทิศตะวันออกและบอกว่า "ดาวว่าวตั้งป่าทำนาล่าแล้ว " ซึ่งหมายถึงในประมาณเดือนสิบสอง เดือนอ้าย ดาวว่าวจะขึ้นเรี่ยยอดไม้ให้เห็นในเวลาหัวค่ำ แสดงว่าหมดฤดูปักดำ ทำนาต่อก็จะล่าเกินไป ได้ผลน้อย เพราะจะแล้งเสียก่อน
ดาวว่าวที่กล่าวถึงนี้ ป้า๕รีชี้ให้ดู ปรากฏว่าเป็นคนละกลุ่มกับดาวว่าว ( Southern Cross) ของภาคกลาง หากเป็นส่วนหนึ่งของนักษัตร Orion คือกลุ่มดาวไถ มองเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนตะแคงอยู่ คล้ายว่าวปักเป้า คนใต้จึงเรียก " ดาวว่าว "
พอถึงเดือนเมษายนและพฤษภาคม หน้าเก็บข้าว นวดข้าว ก็จะดูเวลาด้วยดาวอีกกลุ่มหนึ่งเรียกชื่อภาษาถิ่นว่า " ดาวคันชั่ง " ซึ่งมิใช่ดาวในนักษัตร Libra แต่เป็นดาวสุกสว่าง ๒ ดวงขื่อ Alpha-Centauri และ Beta-Centauri ขึ้นสว่างอยู่ทางทิศใต้ ในช่วงเดือนนอนขนำนี้ หากมองเห็นดาวดวงซ้าย (Alpha-Centauri) ต่ำกว่าดาวดวงขวา (Beta-Centauri) จะเป็นเวลาก่อนเที่ยงคืน หากดาวสองดวงนี้ได้ระดับเสมอกันพอดี จะอยู่ระหว่างช่วงเที่ยงคืนดึกสงัด แต่ถ้าดวงดาวขวาเริ่มต่ำลงนั่นคือเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว และถ้าดาวดวงขวายิ่งต่ำลงเท่ใดก็หมายถึงว่ากำลังถึงเวลาใกล้รุ่งเต็มทีแล้ว
การดูทิศทาง
ดาวคันชั่งนี้ ป้าศรีเล่าให้ฟังอีกว่าเป็นกลุ่มดาวที่พวกขโมยควายรู้จักดี เนื่องจากทำให้รู้ทิศทางในยามกลางคืน ใช้กำหนดทิศใต้เป็นหมายในการหาเส้นทางหลบหนีได้อย่างแม่นยำ
ปู่หรอดตายไปหลายปีแล้ว ความชำนาญในการดูดาวของปู่ได้รับการถ่ายทอดไปสู่ลูกและหลาน ส่วนวิชาอื่นๆ อันได้แก่ การต้มยา คาถากำบังตน คาถาขยายร่าง การคัดพันธุ์ข้าว การล่าสัตว์ ไล่เสือ ไล่ช้าง ฯลฯ สารพัดอย่างที่ชายไทยโบราณได้ใช้ติดตัวเป็นอาวุธป้องกันตนและใช้ทำมาหากิน กระจัดกระจายไปอยู่กับลูกๆ ทั้งหญิงชาย เป็นเรื่องเล่าในครอบครัวต่อมาอีหลายรุ่นคน ซึ่งเป็นเรื่องเล่าอันมีค่า เรื่องเดียวกับที่ไพร่บ้านชาวใต้ทุกครอบครัวได้เคยผ่านวิถีเหล่านั้นมาทั้งสิ้น
ทุกครอบครัวมีเรื่องเล่า มีตำนาน มีสรรพความรู้สารพัดที่จะทำให้เข้าใจชีวิต เข้าใจวัฒนธรรม เข้าใจรากเหง้าของผู้คนที่แวดล้อมอยู่รอบตัว คงน่าเสียดายนัก หากจะปล่อยให้เรื่องเล่าเหล่านั้นสูญผ่านไปกับกาลเวลา
|